phone
Call us now02-761-9936
Post

5 เทคนิค ออกแบบโฆษณายังไง ให้ขายสินค้าได้จริง


โฆษณามีผลต่อการรับรู้และการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการสื่อสารและจูงใจให้ลูกค้าเกิดความสนใจในสินค้า โฆษณาที่มีประสิทธิภาพจะต้องสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าคล้อยตามและเชิญชวนให้ลูกค้าปฏิบัติตามได้ ซึ่งวันนี้ Sampedia จะมาเล่า 5 วิธีการออกแบบโฆษณาให้ขายสินค้าได้จริง! เพื่อเป็นประโยชน์ให้ทุกคนนำไปปรับใช้ให้เข้ากับแบรนด์และสินค้ากันครับ

เทคนิคที่ 1: ทำความเข้าใจรูปแบบโฆษณา

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การออกแบบโฆษณามีประสิทธิภาพ คือต้องออกแบบให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่แบรนด์วางไว้ ซึ่งแต่ละวัตถุประสงค์จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน ดังนั้นแบรนด์จำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งที่ต้องการจากการโฆษณาเพื่อออกแบบให้ตรงกับวัตถุประสงค์มากที่สุด

- วัตถุประสงค์ที่ 1 สร้างการรับรู้ (Awareness)

แบรนด์จะต้องออกแบบโฆษณาเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้คนอินกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น การเล่าถึง Story ความเป็นมาของแบรนด์ สิ่งที่แบรนด์อยากสื่อออกไป หรือที่มาของสินค้า จะดีกว่าการทำโฆษณาแบบขายตรง ๆ เนื่องจากจะสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าอินไปกับโฆษณาได้มากกว่า ยกตัวอย่างการโฆษณาแบบขายตรงบอกว่าสินค้าถูกและดี แว็บแรกหลายคนอาจคิดว่า “ของถูกและดีมีจริงเหรอ หลอกลวงกันหรือเปล่า” ในทางกลับกันถ้าแบรนด์โฆษณาโดยสื่อถึง Mindset ของแบรนด์ แสดงถึงความตั้งใจสร้างแบรนด์เพื่ออยากพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ คุณผู้อ่านคิดอย่างไรหลังจากอ่านสองโฆษณานี้บ้างครับ… นี่คือความแตกต่างของการสื่อสารในลักษณะการทำ Awareness ในทางเทคนิคแล้วส่วนนี้อาจจะไม่สามารถวัดยอดขายได้โดยทันที แต่ข้อความเหล่านี้จะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในความทรงจำของคนที่ได้เห็นโฆษณาให้เข้าใจถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ คุณภาพของสินค้า และเมื่อถึงเวลาที่ลูกค้าต้องการสินค้า แบรนด์ของเราจะเป็น Top of mind ที่เขานึกถึงเป็นอย่างแรก

- วัตถุประสงค์ที่ 2 สร้างให้เกิดแอคชั่นต่าง ๆ (Conversion)

แบรนด์ที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระทำต่าง ๆ เช่นคลิกเข้าไปซื้อ กรอกข้อมูลให้เราติดต่อกลับ หรืออาจจะส่งข้อความมาหาเรา เรียกได้ว่าเป็นไม้ตายปิดการขายหรือ Trigger to sale การสร้างโฆษณาสำหรับ Conversion ให้มีประสิทธิภาพควรวางเนื้อหาในแคมเปญให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย อธิบายถึงประโยชน์ที่จะมอบให้ลูกค้า ความโดดเด่นของสินค้าหรือแบรนด์ และวิธีการที่ลูกค้าจะได้รับ รวมถึงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น โปรโมชั่น สถานที่ซื้อ ราคา เป็นต้น อีกทั้งแคมเปญควรมีความหลากหลายและดีไซน์ที่โดดเด่นในรูปแบบ รูปภาพ วิดีโอ Collection หรือ Carousel ให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะสื่อ การยิง Conversion ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายจะยิ่งช่วยให้เกิดผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มยอดขายได้ในทันที ซึ่ง Sampedia ขอแนะนำว่า แบรนด์ควรวางฐานการทำ Awareness มาก่อนซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้จักและคุ้นเคยกับแบรนด์ รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ส่งผลต่อโอกาสในการตัดสินใจซื้อที่เพิ่มมากขึ้น 

เทคนิคที่ 2: ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมาย

ยิ่งแบรนด์รู้จักกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากเท่าไร จะยิ่งทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่แบรนด์ต้องทำคือ วิเคราะห์เป้าหมายให้ชัดเจน ต้องรู้จักว่าพวกเขาเป็นใคร ช่วงอายุเท่าไร เพศอะไร อยู่พื้นที่ไหน มีความสนใจและพฤติกรรมอย่างไร จากนั้นก็ทำการ Research เพื่อให้รู้ Demand หรือ Pain Point ไหนที่เราสามารถเอามาใช้ในการสื่อสารเพื่อทำโฆษณาได้บ้าง การลดความกว้างในการระบุกลุ่มเป้าหมายจะทำให้ต้นทุนโฆษณาลดลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น

เทคนิคที่ 3: รู้จักใช้ช่องทาง

เมื่อเรารู้จักกลุ่มเป้าหมายแล้ว เราจะทราบว่าช่องทางไหนคือช่องทางที่เหมาะสมที่เราควรใช้ในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย กุญแจสำคัญคือ การเพิ่มโอกาสการมองเห็นให้มากที่สุดในต้นทุนที่ไม่สูงจนเกินความจำเป็น การกระจายช่องทางการสื่อสารจะเป็นทางเลือกที่ดีโดยเฉพาะสำหรับการโฆษณาออนไลน์ ดังนั้นเรามาเลือกประเภทช่องทางการสื่อสารให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การโฆษณาของแบรนด์กันบ้างดีกว่าครับ ก่อนอื่นเลยเราจะแบ่งช่องทางโฆษณาออกเป็น 2 กลุ่ม

- กลุ่มที่ 1 Push Media

แบรนด์สามารถใช้ Push Media ในการสร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้า เพื่อสร้างอารมณ์ให้เขารู้สึกว่า “ของมันต้องมี!!” สร้าง Demand ให้เขาอยากใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ประเด็นสำคัญคือแบรนด์ต้องใช้การโฆษณาเชิงรุกในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อไม่ให้เกิดความรำคาน หลักการของการโฆษณาเชิงรุกคือ ยิงโฆษณาไปสู่กลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็น จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง อย่างไรก็ตาม หากแบรนด์ต้องการกระตุ้นยอดขายก็ควรทำ Contents เพื่อทำโฆษณาเชิงรุกเช่นกัน มาดูช่องทาง Push Media ยอดฮิตในไทยกันดีกว่าครับ ว่าช่องไหนมีจำนวนผู้ใช้มากที่สุด 10 อันดับแรก

- กลุ่มที่ 2 Pull Media

ช่องทางการสื่อสารเชิงรับ เป็นการทำโฆษณาเพื่อรอรับความต้องการของผู้บริโภค ทำให้มีโอกาสเห็นได้น้อยกว่า แต่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า ดังนั้นจึงทำให้ต้นทุนต่ำเพราะไม่จำเป็นต้องโปรโมตมากนัก แต่เพิ่มโอกาสการขายได้มากกว่าเนื่องจากลูกค้ามีความต้องการสินค้าอยู่แล้ว กุญแจสำคัญคือ แบรนด์จะต้องคำนึงถึงลักษณะของสินค้า หากสินค้าเป็นสิ่งที่คนสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายหรือเกิดความต้องการเมื่อเห็นสินค้าแบรนด์อาจไม่จำเป็นต้องทำ Pull Media แต่หากสินค้าเป็นสิ่งที่คนไม่สนใจหากไม่ต้องการและคนมักจะค้นหาเมื่อเกิดความจำเป็นหรือความต้องการจะใช้สินค้าเท่านั้น Pull Media จะมีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นการขายเป็นอย่างมาก เคล็ดลับความสำเร็จคือ ตั้งคำค้นหาให้ตรงกับคำค้นหาของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด เมื่อคนคลิกโฆษณาเข้าไปจะต้องมีข้อมูลครบถ้วน ดีไซน์สวย มี Contents ที่น่าสนใจ ง่ายต่อการซื้อ

เทคนิคที่ 4: การออกแบบโฆษณาเพื่อการขาย

เป็นสิ่งสำคัญที่หลายแบรนด์มองข้าม การโฆษณาที่ยืดเยื้อเกินไปหรือใส่ข้อมูลมากเกินไปจะทำให้เกิดความน่าเบื่อและไม่เป็นที่สนใจได้ จากสถิติการเก็บพฤติกรรมความสนใจในโฆษณาของ Facebook Insights ปรากฏว่า คนมักจะให้ความสนใจโฆษณาเพียง 1.6 วินาทีแรกเท่านั้น ดังนั้นถ้าโฆษณามีความน่าสนใจตั้งแต่แว็บแรกจะช่วยเพิ่มโอกาสการขายได้มากขึ้น สิ่งที่แบรนด์ควรทำคือ ใส่ข้อความที่เป็นจุดขาย แสดงความโดดเด่น ความน่าสนใจตั้งแต่วินาทีแรก ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจ หัวข้อต้องชัด สะดุดตา สีโดดเด่น ตัวอักษรไม่ต้องมากแต่ดีไซน์ต้องสวย อ่านแล้วเข้าใจ และกำหนด Call to action ให้ผู้เห็นโฆษณาปฏิบัติตาม เช่น ลงทะเบียนตอนนี้เพื่อรับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษ คลิกเลยเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม เป็นต้น

เทคนิคที่ 5: ช่องทางรองรับการขาย

หลังจากที่แบรนด์ออกแบบโฆษณามาเป็นอย่างดีแล้วแต่ยังไม่มียอดขายอาจจำเป็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับช่องทางการปิดการขาย หากคนให้ความสนใจกดเข้ามาในเว็บหรือส่งข้อความมาหาเราเยอะแล้วแต่เราไม่สามารถปิดการขายได้จะทำให้แบรนด์เสียค่าโฆษณาไปเสียเปล่า Sampedia ขอแนะนำ 3 ช่องทางและวิธีการเตรียมช่องทางการรองรับการขายให้มีประสิทธิภาพ

- Landing Page

เป็นเว็บไซต์หน้าเดียวที่มีไว้เพื่อรองรับการขายจากการยิงโฆษณา ในการโฆษณาแบรนด์สามารถแนบลิงค์เว็บเอาไว้ให้ผู้ที่สนใจโฆษณาคลิกเข้าไปเพื่อดูสินค้าเพิ่มเติมหรือกดสั่งซื้อสินค้าได้ ดังนั้นช่องทางการซื้อและการชำระเงินจะต้องง่ายและสะดวก ไม่ซับซ้อน ผู้ที่สนใจสามารถคลิกลิงค์และไปที่หน้ากดสั่งซื้อได้เลย หรือหากสินค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องพูดคุย สอบถามก่อนสั่งซื้อ แบรนด์อาจจะแนบลิงค์ไปที่เว็บให้ลูกค้ากรอกข้อมูลการติดต่อที่จำเป็น เพื่อให้ Telesale โทรไปปิดการขายอีกที

- Chat

เป็นอีกช่องทางปิดการขายที่ง่ายและสะดวก โดยมีตัวช่วยเป็นการสื่อสารที่จะจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นพนักงานขายที่มีหน้าที่ในการตอบแชทจึงมีความสำคัญ แน่นอนว่าจะต้องสามารถตอบข้อมูลหรือให้คำแนะนำลูกค้าได้เป็นอย่างดี จะต้องมีทักษะการขายและการสื่อสารที่เป็นกันเอง ตอบแชทได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง หากแบรนด์ที่กำลังประสบปัญหาในการตอบแชทช้าหรือตอบลูกค้าไม่ทัน สามารถใช้ Chat Bot เป็นเครื่องมือช่วยในการกรองหรือแก้ปัญหาง่าย ๆ ให้กับลูกค้าไปก่อนซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าได้

- Market Place

เหมาะกับสินค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างดี หรือใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อไม่มากนัก Market Place อย่าง Lazada หรือ Shopee ก็เป็นช่องทางที่เหมาะสม แบรนด์อาจจะแนบลิงค์หรือ QR Code ให้ลูกค้าสแกนในโฆษณาเพื่อเพิ่มความสะดวกให้ง่ายมากขึ้น ในส่วนนี้แบรนด์ควรจะเข้าร่วมแคมเปญต่าง ๆ เช่น ส่งฟรี Coin Back หรือ COD เพื่อจูงใจลูกค้าให้ซื้อสินค้ามากขึ้น การทำรูปภาพให้ชัด สวย โดดเด่น และลงข้อมูลให้ครบถ้วนก็สำคัญเช่นกัน 

ที่เล่ามาทั้งหมดคือ 5 เทคนิคดี ๆ สำหรับการออกแบบโฆษณาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแบรนด์และรูปแบบสินค้าหรือบริการด้วยว่าจะนำไปปรับใช้กันอย่างไรบ้าง การที่จะออกแบบโฆษณาให้นำไปสู่การขายได้จะต้องวางรากฐานตั้งแต่การสร้างการรับรู้ คอนเทนต์ที่ควรเน้นจะมีรูปแบบในการเล่าถึง Concept ของสินค้าหรือแบรนด์ให้เป็นที่น่าสนใจให้คนอิน หลังจากนั้นนำไปสู่การสร้างโฆษณาเพื่อจูงใจให้คนปฏิบัติตาม โดยจะเน้นไปที่การทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมาย วางรูปภาพให้สวย โดดเด่น ซึ่งข้อมูลที่เป็นจุดขายควรจะถูกเสนอตั้งแต่ช่วงต้นของการโฆษณา และจำเป็นต้องสื่อไปในช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความเหมาะสมของสินค้าหรือบริการก็เช่นกัน หากเป็นสินค้าที่สามารถตัดสินใจได้ง่ายจากการเห็นโฆษณาก็สามารถใช้ช่องทาง Push Media ในการโฆษณาได้ รวมถึงช่องทางปิดการขายก็ไม่จำเป็นต้องใช้การสื่อสาร ซึ่งแบรนด์อาจจะใช้เว็บไซต์หรือ Market Place ให้ลูกค้ากดสั่งซื้อได้สะดวกและง่าย แต่หากเป็นสินค้าที่คนมักจะค้นหาเมื่อเกิดความต้องการจะใช้สินค้าเท่านั้น Pull Media จะเป็นช่องทางหลักที่แบรนด์ควรใช้ และใช้ช่องทางแชทในการปิดการขาย

ถ้าใครอ่านบทความนี้แล้วชอบใจก็อย่าลืมกดไลก์แฟนเพจ Samsonite Thailand เป็นกำลังใจให้ทีม Sampedia ด้วยนะครับ บทความหน้า Sampedia จะมีเรื่องราวสาระดี ๆ อะไรมาฝากผู้อ่านกันอีกอย่าลืมติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ

อ้างอิง
https://www.slideshare.net/DataReportal/digital-2021-april-global-statshot-report-v01?from_action=save&fbclid=IwAR0d75DQ-Vk48Xt7i2z2kLFOKCswLRNdwTJugL39LW5dXW71xnAeNq5NyDI
https://www.everydaymarketing.co/knowledge/thailand-digital-stat-2021-we-are-social/